วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แนะนำ Blog



10 คำถามที่คนสงสัยมากที่สุดเกี่ยวกับอิสลาม 

(http://www.islamcare.net/wp-content/uploads/2012/11/islam.jpg)


             รวม 10 คำถามที่คนอิสลามถูกถามมากที่สุดจากเพื่อนต่างศาสนา  
       เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
       วันนี้เรามาเคลียร์ข้อสงสัยที่ค้างคาใจ ให้กระจ่างกันเลยค่ะ


วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทำไมถึงเชื่อว่ามีพระเจ้า(อัลลอฮ) ?


ทำไมถึงเชื่อว่าอัลลอฮคือพระเจ้า ?

(https://isramparty.files.wordpress.com/2011/01/imagescaeu94ht.jpg)

             คำตอบของคำถามนี้ คงไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ในคำพูดเพียงหนึ่งประโยค หรือ ถ้อยคำเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ หากแต่ต้องใช้ปัญญาของมนุษย์เรา พิจารณาสิ่งรอบๆตัวว่ามีกำเนิดมาอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงอยากจะยกตัวอย่างสิ่งรอบตัวบางอย่าง เพื่อย้อนถามความคิดของท่าน

            ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า โลกนี้มีกลางวันกลางคืนได้อย่างไร ?
ถ้าจะตอบแบบที่เด็กคิดก็คือ มีกลางวันเพราะดวงอาทิตย์ขึ้น มีกลางคืนเพราะดวงอาทิตย์ตก และมีดวงจันทร์มาให้แสงสว่างแทน 
             แต่ท่านเคยคิดให้กว้างกว่านั้นไหม ? 
             กลางวันกลางคืนมันอยู่เหนือการกำหนดของมนุษย์ใช่หรือเปล่า ?
             ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไปควบคุมเวลาให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกได้ใช่ไหม ?
             ขนาดความร้อนที่ดวงอาทิตย์ส่องมากระทบผิวมนุษย์ เรายังไม่สามารถควบคุมได้ 
            นับประสาอะไร ที่มนุษย์จะไปควบคุมกาลเวลา 
             ดังนั้น แน่นอนโลกนี้จึงต้องมีผู้สร้าง และผู้ควบคุม และนั่นคือ "อัลลอฮ" เพียงองค์เดียว 
ดังที่อัลกุรอ่านได้ตรัสไว้ว่า 
     
وَآيَةٌلَّهُمُاللَّيْلُنَسْلَخُمِنْهُالنَّهَارَفَإِذَاهُممُّظْلِمُونَ ﴿٣٧
“วะอายะตุ้ลละฮุมุ้ลลัยลุ นัซละคุมินฮุนนะฮาเราะ ฟาอิซาฮุมมุซลิมูน”
   (37) การที่เราได้ถ่ายถอนกลางวันออกมาจากกลางคืน-ตามติดกันมา-เมื่อนั้นพวกเขาก็ได้ตกอยู่ในความมืดนั้น เป็นสัญญาณสำหรับพวกเขา 
(ซูเราะห์ยาซีน อายะห์ที่ 37)


หากท่านถามเราว่า ทำไมเราจึงเชื่อว่ามีพระเจ้า ? ทั้งๆที่มองไม่เห็น 
          เราก็ขอย้อนถามท่านว่า ทำไมท่า่นจึงเชื่อว่ามีวิญญาณ ? ทั้งๆที่มองไม่เห็นเช่นกัน
คำตอบ ก็คงคล้ายๆกัน
***ท่านเชื่อว่ามีวิญญาณ ทั้งที่ท่านไม่สามารถมองเห็น ไม่สามารถสัมผัส ไม่สามารถรับรู้สภาพ และที่อยู่ของวิญญาณได้ แค่ท่านรู้ว่าคุณลักษณะของวิญญาณ คือร่างโปร่งแสงไร้น้ำหนัก ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานอ้างอิงด้วยซ้ำว่าจริงหรือไม่ แต่ท่านก็เชื่อ 

***เราก็เชื่อว่า มีพระเจ้าหรือ ผู้สร้าง โดยที่เราไม่สามาถมองเห็น ไม่สามารถรับรู้สภาพและที่อยู่ แต่เรารับรู้โดยผ่านการบอกเล่าผ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านว่าให้พิจารณาการมีอยู่ของพระเจ้าจากคุณสมบัติของผู้สร้างเช่นการมีอยู่หนึ่งเดียว การมีมาแต่เดิมรวมทั้งการไม่เหมือนสิ่งถูกสร้าง  และ สิ่งถูกสร้างรอบๆตัวเราซึ่งได้แก่ระบบสุริยจักรวาล โลก ระบบภายในของโลกที่ถูกเรียกโดยรวมว่า ธรรมชาติ จึงทำให้เราเชื่อสุดหัวใจว่าพระเจ้าที่เราเรียกว่า  "อัลลอฮ"มีจริง

           
(http://www.islamcare.net/wp-content557-02-20-at-9.55.03-PM.png)

               บางคนถามต่อว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอัลลอฮ คือพระเจ้าองค์เดียวที่แท้จริง ??
                  พระเจ้า ผู้ส้รางทุกสรรพสิ่งที่แท้จริง ต้องมีคุณลักษณะ ดังต่อไปนี้
 ผู้สร้างจะต้องไม่มีจุดกำเนิด 
ไม่มีจุดสิ้นสุด
จะต้องมีอยู่มาแต่เดิม 
และมีต่อไปอย่างถาวร 
จะต้องดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง
และจะต้องมีเพียงหนึ่งเดียว
ทั้งมีความสามารถในทุกสิ่ง
และทรงรอบรู้ในทุกอย่าง

ซึ่งคุณลักษณะของพระเจ้าทั้งหมดนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดล่วงรู้ได้ เพราะเกินกว่าที่สติปัญญามนุษย์จะรองรับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ 
สำหรับผู้ศรัทธาที่แท้จริง แค่คุณสมบัติเพียงไม่กี่ประการที่กล่าวมาข้างต้น บวกกับการพิจารณาสิ่งถูกสร้างที่มาจากพระเจ้ารอบตัว ก็จะทำให้มีความศรัทธา ยึดมั่นเข้มแข็ง
เพราะทุกอย่างรอบตัว ล้วนเป็นเหตุผลสนับสนุนว่า 
พระเจ้ามีอยู่จริง และ
พระเจ้า นั้น คือ อัลลอฮ ผู้ทรงเอกะ เพียงองค์เดียว

ตั้งแต่วันที่กำเนิดโลก ลอยเคว้งคว้างอยุ่กลางอวกาศ ไม่มีเสาค้ำ ไม่มีเชือกดึง ไม่มีอะไรไปยึดมันไว้ แต่มันก็ลอยของมันอยู่แบบนั้นไม่ตก หมุนรอบตัวเอง 24 ชั่วโมง ทุกวัน เป็นเวลา 365 วัน ครบ 1 ปี วิ่งโคจรไปแล้วกลับมาใหม่ ไม่เคยหลุดออกนอกวงโคจร แม้แต่ครั้งเดียว 
ทุกอย่างที่มีอยู่บนโลกทุกชนิด มีคุณสมบัติที่ชัดเจน มนุษย์เองก็ได้เรียนรู้มัน และนำมันมาใช้ประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับพระประสงค์ของอัลลอฮฺที่ว่า
"เราสร้างโลกนี้ มาเพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์"
การที่มนุษย์จะไปแสวงหาโลกใหม่ พยายามสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ ย้ายไปอยู่โลกใบใหม่ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์คือ สิ่งถูกสร้าง ไม่ใช่ ผู้สร้าง
อัลลอฮทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอ่านแล้วว่า 
"เราสร้างโลกใบนี้มา เพื่อให้มนุษย์ใช้ประโยชน์ มันมีจุดเริ่มต้น และมีจุดสิ้นสุด ไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะเป็นธรรมดาของสิ่งถูกสร้าง "
อัลลอฮทรงชี้แนะไว้แล้วว่า เป้าหมายปลายทางของชีวิตมนุษย์บนโลกใบนี้เป็นอย่างไร  


***การไม่มี  จะเริ่มจาก  การไม่มี  เป็นไปไม่ได้***
หากโลกนี้  ไม่มีมาแต่เดิม  แต่ไม่มีใครสร้าง ก็เกิดขึ้นไม่ได้ 

***ผู้สร้าง หากมีคุณสมบัติเหมือน สิ่งถูกสร้าง ทุกอย่างก็ย่อมพังพินาศ***
สิ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันต้องอยู่ด้วยกันใช่หรือไม่ ??
ดังนั้น พระเจ้า และ มนุษย์ อยู่คนละฐานะ
พระเจ้า คือ ผู้สร้างโลก และ สร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
มนุษย์ คือ สิ่งถูกสร้าง ที่ถูกสร้างมาเพื่อให้ทำตามคำสั่งใช้ของพระเจ้า

(http://www.islamcare.net/wp-content/uploads/2012/11/allah.jpg)

             
     เพียงคำถามเเดียวคงไม่อาจเปลี่ยนความคิดของท่านให้เชื่อในเรื่องพระเจ้า 
ทุกอย่างล้วนใช้เวลาในการทำความเข้าใจ และเป็นกำหนดของอัลลอฮที่จะทำให้ท่านเข้าใจในอิสลามหรือไม่
ผู้เขียนขอทิ้งท้ายไว้ด้วยบทความหนึ่ ซึ่งอาจทำให้ท่านเข้าใจ
ในเรื่องพระเจ้าของอิสลามมากขึ้น

(http://news.tlcthai.com/wp-content/uploads/2013/07/cats44.jpg)

เรื่อง  ตบหน้าผมทำไม ? ใครว่าพระเจ้าไม่มีจริง!!
        ชายผู้หนึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่ำเรียนยังถิ่นแดนไกลเป็นเวลานานเมื่อเขากลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนเขาได้ขอร้องให้พ่อแม่ช่วยหานักวิชาการศาสนาที่ว่าแน่ๆเก่งๆ เพื่อเขาจะถามปัญหา 3 ข้อแก่นักวิชาการศาสนาผู้นั้น 
ในที่สุดพ่อแม่ก็หานักวิชาการศาสนา ที่ลูกต้องการได้
ชายหนุ่ม : ท่านเป็นใครกัน ? ท่านสามารถตอบปัญหาฉันได้หรือ ?
โต๊ะครู : ฉันเป็นบ่าวคนหนึ่งของอัลลอฮฺ ด้วยประสงค์ของอัลลอฮ ฉันคงตอบปัญหาของเธอได้
ชายหนุ่ม : ท่านแน่ใจหรือ ? ผู้รู้ระดับ professor  และผู้เชี่ยวชาญยังตอบปัญหาผมไม่ได้เลย
โต๊ะครู : ฉันพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ
ชายหนุ่ม : ปัญหา 3 ข้อ ของผมก็คือ
1. พระเจ้ามีจริงหรือ ? ถ้ามีจริง ได้โปรดแสดงรูปร่างของพระเจ้าให้ฉันดู
2. ตักฺดีรฺ (การกำหนดสภาวการณ์ต่างๆของอัลลอฮฺ) คืออะไร ?
3. ถ้าชัยฏอน(แปล:ซาตาน,มารร้าย) ถูกสร้างมาจากไฟแล้วทำไมบั้นปลายของชัยฏอนจะถูกโยนลงไปในนรก ซึ่งถูกสร้างมาจากไฟเช่นกันแน่นอนเหลือเกินไฟนรกไม่สามารถทำให้ชัยฏอนเจ็บปวดได้เลยแม้เพียงระคายผิว เนื่องจากชัยฏอนและนรกล้วนถูกสร้างมาจากไฟ พระเจ้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ดอกหรือ ?
(ทันใดนั้นเองโต๊ะครูได้ตบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นอย่างจัง !!)
ชายหนุ่ม(รู้สึกเจ็บมาก) : ทำไมท่านจึงโกรธฉันขนาดนี้ ?
โต๊ะครู : เปล่าเลย ฉันไม่ได้โกรธเธอเลยแม้แต่น้อย ที่ตบหน้าเธอนั้นเป็นการตอบปัญหา 3 ข้อที่เธอถาม
ชายหนุ่ม : ตอบยังไงกัน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ?
โต๊ะครู : เธอรู้สึกยังไงล่ะ หลังจากที่โดนตบหน้า ?
ชายหนุ่ม : ก็เจ็บน่ะสิ ถามได้
โต๊ะครู : อ้าววว !! อะไรกัน เธอเชื่อว่าความเจ็บปวดมีจริงหรือนี่ ?
ชายหนุ่ม : ก็ใช่สิครับ นี่ยังจ็บอยู่เลย
โต๊ะครู : ไหนเธอแสดงรูปร่างความเจ็บปวดให้ฉันดูหน่อยสิ ทำได้หรือเปล่าล่ะ
ชายหนุ่ม : ผมทำไม่ได้หรอกครับ
โต๊ะครู : นั่นคือคำตอบแรกชองฉัน เราทุกคนสามารถรับรู้การมีอยู่จริงของอัลลอฮ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ได้โดยไม่จำเป็นต้องเห็นรูปร่างของพระองค์
โต๊ะครู : เมื่อคืนนี้ เธอฝันว่าจะถูกฉันตบหน้าหรือเปล่า ?
ชายหนุ่ม : เปล่าครับ
โต๊ะครู : เธอคาดคิดหรือเปล่าว่า จะถูกฉันตบหน้าในวันนี้ ?
ชายหนุ่ม : เปล่าครับ 
โต๊ะครู : นั่นแหละ คือตักฺดีรฺ(การกำหนดของอัลลอฮ ที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ )
โต๊ะครู : มือฉันที่ตบหน้าเธอนั้น ทำมาจากอะไร ?
ชายหนุ่ม : มันทำมาจากเนื้อหนังมังสา
โต๊ะครู : แล้วหน้าเธอล่ะ มันทำมาจากอะไร ?
ชายหนุ่ม : มันก็ทำมาจากเนื้อหนังมังสาเช่นกันสิครับ
โต๊ะครู : เธอรู้สึกอย่างไรล่ะ หลังจากถูกฉันตบ ?
ชายหนุ่ม : ก็เจ็บสิครับ
โต๊ะครู : แม้ว่าชัยฏอนกับนรกจะถูกสร้างมาจากไฟ ถ้าหากอัลลอฮฺประสงค์ อินชาอัลลอฮฺ นรกจะเป็นสถานที่ที่เจ็บปวดทรมานยิ่งสำหรับชัยฏอน
         นี่คือบทเรียนชีวิตที่สอนให้รู้ว่า อย่าอวดตนถือว่าตัวฉันนี่แน่กว่าใคร ต้องการจะหักหน้าให้ผู้อื่นเสียหน้า ต้องการจะทำลายล้างให้ผู้อื่นเสียหาย ต้องการจะวาดลวดลายให้ผู้อื่นยกย่อง
         ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือความสวยงาม แต่การตะกั๊บบุร หยิ่งยะโสโอหัง คือการนำไปสู่การคว่ำหน้าลงสู่นรกมิใช่หรือ และนี่คือ....บทพิสูจน์ว่า....พระเจ้ามีจริง !!


ขอบคุณบทความดีดีจากหนังสือ "เขาคุยอะไรกัน" หน้า 59-62 
โดยอ.ศอดีกีน อับดุลบารีย์
เรียบเรียงโดย : นาเดีย สนับแน่น               

ทำไมอิสลามต้องละหมาดวันละ 5 เวลา?


ทำไมอิสลามต้องละหมาดวันละ 5 เวลา?

(แหล่งที่มาภาพ http://islamhouse.muslimthaipost.com/upfile/2014/09/09/02/20.jpg )

        ถ้าคุณรักผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วคุณเข้าไปหาเขาวันละ 5 ครั้ง เขาจะไม่ตอบรักคุณเหรอ ?
        ฉันใดฉันนั้น นัยของการละหมาดคือการที่มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกับพระเจ้าของเขา 
        ในอิสลามกำหนดให้มุสลิมละหมาดวันละ 5 เวลา การปฏิบัติละหมาดเสมือนการแสดงความรักต่อพระเจ้า ยิ่งมุสลิมรักพระเจ้าของเขามากแค่ไหน เขาก็ย่อมต้องการให้พระองค์ทรงโปรดปรานมากขึ้นเท่านั้น และมุสลิมจะทำทุกอย่างที่พระองค์พอใจ  และออกห่างทุกอย่างที่พระองค์ทรงห้าม  การละหมาดก็เหมือนกับการที่มุสลิมเข้าไปย้ำพันธสัญญากับพระเจ้า ในรอบวันมุสลิมจะรู้ดีว่าเขาต้องรำลึกถึงพระเจ้า เข้าไปพบกับพระเจ้าอย่างน้อย 5 ครั้ง มุสลิมที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ก็จะมุ่งทำแต่ความดีไม่กล้าทำความชั่วตลอดทั้งวัน

       ในชีวิตมุนษย์ทุกวัน มีกิจกรรมต่างๆมากมายที่ต้องทำ กิจกรรมล้วนส่งผลให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ทั้งสุข  ทุกข์ เศร้า เหงา เบื่อ เครียด และกิจกรรมต่างๆควรมีลิมิต และเวลาให้หยุดพัก ไม่ใช่ดำเนินไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด

       "การละหมาด" ถือเป็นเวลาพักของมุสลิม  
-พักทุกอย่างที่ทำบนโลกที่ไม่ถาวรใบนี้ สู้การสะสมเสบียงเพื่อโลกใบหน้าที่ถาวรกว่า
-พักเพื่อรำลึกถึงผู้สร้าง เข้าเฝ้าพระเจ้า นั่นคืออัลลอฮ ตามคำสั่งวันละ 5 เวลา
-พักเพื่อเตือนสติตนเองว่า กำลังทำอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้เครียด หรือ ยึดติดกับโลกนี้มากเกินไป

                                                            (ที่มาภาพ : Facebook อิสลามคือทางนำ)


คำถาม ทำไมอิสลามต้องละหมาดวันละ 5 เวลา ??
คำตอบ  1. เพื่อทำตามคำสั่งใช้ของพระเจ้า
               2. เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจของผู้กระทำ
               3.เพื่อดำรงไว้ซึ่งศาสนา และจริยธรรมความดี
               4.เพื่อให้พ้นจากการทำบาป ขัดเกลาจิตใจ
        
ความสำคัญของการละหมาด 
      การละหมาด  (อัศ-ศ่อลาฮฺ)  ถือเป็นเครื่องสำแดงความเป็นอิสลามอันดับแรกในวิถีชีวิตของชนมุสลิม  ดังนั้นเมื่อมุสลิมละทิ้งการละหมาด  ก็เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นกำลังนำพาตนเองไปสู่การปฏิเสธ  (กุฟร์)  ซึ่งท่านนบีฯ (صلى الله عليه وسلم)  ได้กล่าวว่า  :

  إِنَّ بَيْنَ الَّرجُلِ و بَيْنَ الشِّرْكِ وَالْكُفِر تَركَ الصَّلاَ ةِ  
“แท้จริงระหว่างบุคคลและระหว่างการตั้งภาคีกับการปฏิเสธนั้นคือการละทิ้งการ ละหมาด” 
 (รายงานโดยมุสลิม  -82-)

(แหล่งที่มา  : http://i-cias.com/e.o/slides/salat01.jpg)

ประโยชน์ของการละหมาดมีมากมายหลายประการ
ซึ่งสรุปได้ดังนี้ :

 1.เป็นการเตือนให้มนุษย์รู้จักตนเองว่าเป็นบ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และ เกรียงไกรเพื่อระลึกไว้ตลอดไป โดยที่กิจการงานในทางโลกและความสัมพันธ์กับผุ้อื่นอาจทำให้มนุษย์หลงลืมตน เอง แต่เมื่อถึงเวลาละหมาดมันจะทำให้เขานึกขึ้นได้อีกครั้งหนึ่งว่าตนเป็นบ่าว ของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร

 2.เพื่อให้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของมนุษย์ว่า ไม่มีผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือและให้ความสุขที่แท้จริงนอกจากอัลเลาะฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกรเท่านั้น แม้เขาจะพบเห็นในโลกนี้ว่ามีสื่อและสาเหตุมากมายที่ดูเพียงผิวเผินแล้ว ช่วยเหลือและให้ความสุข แต่แท้ที่จริงแล้วอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ให้สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอำนวย ความสะดวกสบายแก่มนุษย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มนุษย์หลงลืมและปล่อยตัวไปกับสื่อต่าง ๆ ที่เป็นเพียงผิวเผิน การละหมาดจะเป็นสิ่งคอยเตือนเขาว่าที่แท้จริงนั้นมาจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาเพียง องค์เดียว พระองค์ทรงช่วยเหลือ ทรงให้ความสุข ทรงให้โทษ ทรงให้คุณ ทรงให้เป็น และทรงให้ตาย

(แหล่งที่มา http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2012/08/Y12536638/Y12536638-123.jpg)

 3.มนุษย์จะได้ใช้ละหมาดเป็นช่วงเวลาของการสำนึกผิด จากความผิดต่าง ๆ ที่เขาได้ก่อขึ้นเนื่องจากในช่วงวันหนึ่งกับคืนหนึ่งนั้น มนุษย์ต้องเผชิญกับบาปและความผิดต่าง ๆ มากมาย ทังที่เขารู้ตัวและอาจไม่รู้ตัว ดังนั้นการละหมาดระหว่างเวลาหนึ่ง จะช่วยขัดเกลาเขาให้สะอาดบริสุทธิ์จากบาปและความผิดต่าง ๆ ได้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวอธิบายเรื่องดังกล่าวไว้ในฮะดิษซึ่งรายงานโดยมุสลิม (668) จากท่านญาบิร บุตร อับดิ้ลลาห์ ได้กล่าวว่า

(http://blog.islamiconlineuniversity.com/wp-content/uploads/2015/03/Blog-Post-slider1-eclipse-article.jpg)

 "เปรียบละหมาดห้าเวลาเหมือนแม่น้ำที่มีน้ำมากไหลผ่านประตูบ้านคนใดคนหนึ่งใน พวกท่าน โดยที่เขาอาบน้ำจากแม่นั้นทุกวัน ๆ ละห้าครั้ง" ญาบิรได้กล่าวว่า "ฮะซันได้กล่าวว่า : การกระทำดังกล่าวจะทำให้มีสิ่งสกปรกใดเหลืออยู่อีกไหม?" 
(หมายความว่า "สิ่งสกปรก" ในที่นี้หมายถึงบาปต่าง ๆ)
รายงานโดยของอะบีฮุรอยเราะฮ์ (ร.ด.) ที่มุสลิม (667) 
       ได้บ่งชี้เช่นนั้น คือ "นั่นก็เหมือนกับละหมาดหน้าเวลาที่อัลเลาะฮ์จะทรงใช้มันลบล้างบาปต่าง ๆ"

(แหล่งที่มา : FACEBOOK NADIA SANAPNAN )

 4.ละหมาด เป็นเสมือนอาหารที่หล่อเลี้ยงหลักศรัทธา (อะกีดะฮ์) ที่อยู่ในจิตใจ ความเพลิดเพลินในโลกนี้และการลวงล่อของชัยตอนมารร้าย จะทำให้มนุษย์หลงลืมหลักอะกีดะฮ์นี้ ถึงแม้จะถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใจแล้วก็ตาม และเมื่อมนุษย์ตกอยู่ในความหลงลืม ในลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่องด้วยเหตุที่จมปลักอยู่ในอารมณ์ใฝ่ต่ำ และเพื่อนฝูงที่เลวคอยชัดนำ ความหลงลืมนี้จะเปลี่ยนเป็นการปฏิเสธและไม่ยอมรับเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำล่อ เลี้ยงก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด และในไม่ช้าต้นไม้นั้นก็จะกลายเป็นฟืนที่ไร้ค่า แต่มุสลิมที่ยืนหยัดปฏิบัติละหมาดอย่างสม่ำเสมอ ละหมาดนั้นก็จะเป็นอาหารคอยหล่อเลี้ยงความมีศรัทธาของเขาให้สดชื่นและงอกงาม ความเพลิดเพลินในดุนยาไม่อาจทำให้ศรัทธาของเขาอ่อนแอและตายได้ (อัลฟิกห์ 1/88-89)

ละหมาดกับผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

การนมาซสามารถทำให้จิตใจโอบอ้อมอารีและสมองส่วน DMN ทำงาน

        ดร.วัดสัน  บริวเวอร์  (2554:10) นักวิจัยแห่งภาควิชาประสาทวิทยาบำบัด มหาวิทยาลัยเยล มีชื่อเสียงด้านการแพทย์เป็นอันดับต้นๆของอเมริกา ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพการทำงานของผู้ที่ทำสมาธิ[1] กับผู้ที่มิได้ทำสมาธิรวม 23 คน โดยใช้เครื่องมือสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็ก ในการตรวจสอบการทำงานของสมองกลุ่มตัวอย่างพบผลที่น่าทึ่งในกลุ่มผู้ทำสมาธิในขั้นต้นสามประการดังนี้
1.การจดจ่อ
2.การทำให้จิตใจโอบอ้อมอารี
3.การไม่เลือกปฏิบัติ

 โดยกลุ่มตัวอย่างชาวตะวันตกที่ทำสมาธิมีการทำงานของสมองในส่วนที่เรียกว่า Default Mode Network (DMN) ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่จะทำงาน เมื่อเราเผชิญกับโลกภายนอก มีการทำงานมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทำสมาธิ

ผลการวิจัยของนักวิจัยกลุ่มอื่นยังเผยอีกว่า การทำสมาธิ (การละหมาดที่มีคูซูอฺ) นั้นสามารถสร้างเครือข่ายการทำงานของกระแสประสาทใน DMN ได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันโรคอัลซัลเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมได้เป็นอย่างดี





ที่มาของข้อมูล : หนังสือ "อิสลาม กับคำถามที่ต้องตอบ"
http://www.oknation.net/blog/naichumpol
อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=2489.30 
(ดร.วัดสัน  บริวเวอร์  .2554. “รายงานการวิจัย” มติชน. 26 พฤษจิกายน .หน้า 10)
https://muallimnote.wordpress.com/2014/XX)

ทำไมอิสลามต้องมีการถือศีลอด?


ทำไมอิสลามต้องมีการถือศีลอด?



การถือศีลอดเป็นข้อหนึ่งของหลักปฏิบัติของอิสลาม 5 ประการ
     1.ต้องปฏิญาณตนต่อพระเจ้า
     2.ต้องดำรงละหมาด 5 เวลา คือ ตอนรุ่งอรุณ ตอนบ่าย ตอนตะวันคล้อย ตอนตะวันตกดิน และยามค่ำคืน
    3.ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เดือนที่ 9 ของปฏิทินอิสลาม
    4.ต้องจ่ายซะกาต
    5.ต้องทำหัจญ์ คือ การเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะฮ์

    "การถือศีลอด" ตามความหมายทางศาสนาของอิสลาม คือการงดเว้นจากการกิน การดื่ม การเสพ และการมีความสัมพันธ์ทางเพศ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกตลอดทั้งเดือนรอมฎอนของทุกปีซึ่งอาจ จะมีระยะเวลา 29 หรือ 30 วัน โดยมีเจตนาว่าทำเพื่ออัลลอฮฺ

เป้าหมายของการถือศีลอด
    1. เพื่อให้เกิดความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ทั้งที่ลับที่แจ้ง
    2. เพื่อให้เกิดสุขภาพดี
    3. เพื่อได้รู้ถึงสภาพคนยากจน และเกิดความสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
    4. เพื่อให้ใกล้ชิดศาสนา มีศรัทธาที่เข้มแข็ง




ผู้ที่จำเป็นต้องถือศีลอด คือ
    1. เป็นมุสลิม
    2. มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
    3. บรรลุศาสนภาวะ
    4. มีสุขภาพดี
    5. ไม่เดินทาง
    6. สตรีที่ไม่มีรอบเดือน
    7. ไม่มีเลือดนิฟาส (เลือดหลังจากคลอดบุตร)

ผลดีของการถือศีลอด
    1) ประการแรกก็คือเพื่อเป็นการฝึกให้เกิดความรู้สึกยับยั้งตนเองและเกรงกลัวพระเจ้า (หรือที่เรียกกันว่า ตักวา=ความยำเกรง ) โดยปกติแล้ว แรงกระตุ้นให้ทำบาปนั้นมักจะเกิดขึ้นจากการมีความต้องการเยี่ยงสัตว์มากเกิน พอดี แต่การถือศีลอดจะช่วยลดความรู้สึกทางด้านนี้ลง ด้วยเหตุนี้ ท่านนบีจึงได้แนะนำชายหนุ่มที่ยังไม่สามารถแต่งงานและไม่สามารถควบคุมความ ความต้องการทางเพศของตัวเองได้ให้ถือศีลอด เพราะการถือศีลอดจะช่วยลดอารมณ์ทางเพศลง 
 
     2) การถือศีลอดทำให้คนร่ำรวยและคนมีอันจะกิน รู้สึกถึงความหิวและความกระหาย ความรู้สึกเช่นนี้ด้วยตัวเองจะทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกถึงความทุกข์ยากของคน จนและมีจิตใจที่อยากจะช่วยเหลือคนเหล่านั้น นอกจากนี้แล้ว อิสลามยังได้แนะนำให้ทำทานแก่คนยากจนและคนตกทุกข์ได้ยากในเดือนนี้เป็นพิเศษ ด้วย และก่อนที่เดือนแห่งการถือศีลอดจะสิ้นสุดลง อิสลามก็วางข้อกำหนดไว้อย่างเข้มงวดให้มุสลิมทุกคนต้องจ่าย "ซะกาตฟิฏเราะฮฺ" (ซึ่งเป็นข้าวสารประมาณ 3 ลิตร)แก่คนยากจนหรือคนไม่มีจะกินเพื่อให้คนเหล่านี้มีอาหารสำหรับฉลองวัน เทศกาล          "อีดิล ฟิฏริ" หากใครไม่จ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺ อัลลอฮฺก็จะยังไม่รับการถือศีลอดของคนผู้นั้น ดังนั้น การถือศีลอดจึงเป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยดึงคนมีอันจะกินให้หันมารับรู้ความ รู้สึกของคนหิวโหยและช่วยเหลือคนเหล่านั้น
    3) การถือศีลอดเป็นการฝึกฝนผู้ศรัทธา ให้รู้จักอดทนในการที่จะเผชิญต่อความยากลำบาก ที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวในชีวิต เช่น การขาดแคลนอาหาร หรือวิกฤตการณ์ต่างๆ
    4) การหิวและการอดอาหารนานเกินไปอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ แต่การกินอาหารมากเกินไปนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์มากกว่า ดังนั้น การถือศีลอดในบางครั้งจึงเป็นผลดีต่อสุขภาพของร่างกาย เป็นการบำบัดโรคบางอย่าง เพราะการอดอาหารจะช่วยลดไขมันที่เกินความต้องการและขับสารพิษบางอย่างออกจาก ร่างกายของมนุษย์ การทดลองและการสังเกตุของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ยืนยันถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านนบีได้เคยกล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างมีซะกาต และซะกาตของร่างกายคือการถือศีลอด" (ซะกาตหมายถึงการซักฟอกให้สะอาดและความเจริญงอกงาม)
    5) การถือศีลอดเป็นการปกป้องผู้ถือศีลอดให้พ้นจากบาปต่างๆ เพราะในขณะถือศีลอด ผู้ถือศีลอดไม่เพียงแต่จะต้องงดเว้นจากการกิน การดื่มเท่านั้น แต่ยังจะต้องงดเว้นจากการนินทาว่าร้าย การพูดจาไร้สาระ การคิดและการทำสิ่งชั่วช้าเลวทรามต่างๆด้วย อิสลามถือว่าคนที่ถือศีลอดแต่ยังไม่งดเว้นจากการนินทาว่าร้ายผู้อื่นนั้นจะ ไม่ได้อะไรจากการถือศีลอดนอกไปจากความหิว
    6) การถือศีลอดเป็นการฝึกจิตใจให้มีสมาธิแน่วแน่ ในสิ่งที่ตัวเองยืนหยัดศรัทธา
    7) ถึงแม้การถือศีลอดจะทำให้ท้องเกิดความหิวกระหาย แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้หัวใจเกิดความหิวกระหายที่จะทำดีด้วย 
    8) การถือศีลอดก่อให้เกิดความเสมอภาคขึ้นในหมู่ประชาชาติมุสลิม เพราะในเดือนรอมฎอน ไม่ว่าใครจะรวยหรือจนขนาดไหน มุสลิมทุกคนต่างก็ต้องอดอาหารตามคำบัญชาของอัลลอฮฺด้วยกันทั้งสิ้น
    9) การถือศีลอดเป็นการฝึกความซื่อสัตย์ต่อตนเองและพระเจ้า บางครั้งบางคนอาจจะทนกับความหิวโหย แอบกินอาหารโดยที่ไม่ให้ใครเห็น แต่พึงระลึกไว้เถอะว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงรู้ และทรงเห็น

(http://infographic.muslimthaipost.com/upfile/2015/15/006_25.jpg)

สิ่งที่เป็นซุนนะฮฺในการถือศีลอดได้แก่  (ซุนนะฮุ คือ ถ้าทำได้บุญกุศล ละทิ้งไม่มีโทษ)
1.รับประทาน อาหารสะฮูรโดยให้ล่าช้าในการรับประทาน ท่านรอซูล ศ๊อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ประชาชาติของฉันยังอยู่ในความดี ในเมื่อพวกเขารีบแก้ศีลอด และ ล่าช้าในการรับประทานอาหารสะฮูร ”

(http://www.cicot.or.th/2011/upfile/2012/international_new/June2012/28062012/28062012-c.jpg)

2.รีบละศีลอดเมื่อได้เวลา แก้ศีลอดด้วยอินทผาลัมสุกหรือแห้ง หรือน้ำ โดยรับประทานเป็นจำนวนคี่ ก่อนการแก้ศีลอดให้อ่านดุอาว่า “ อัลลอฮุมมะ ละกะศุมตุ วะอาลาริซกิกะ อัฟตอรตุ ”
3.งดเว้นการปฏิบัติในสิ่งที่ขัดต่อมารยาทของการถือศีลอด เช่น การด่าทอ นินทา การพูด โกหก การพูดในสิ่งที่ไร้สาระ ฯลฯ
4.อ่านอัลกุรอาน 
(https://cht6ya.bn1.livefilestore.com/y2plGiSlng28W7D3nSQ9hcgn3IE/3read_quran.jpg?psid=1)


5.ละหมาดกิยาม (ตะรอเวียะฮฺ)ในค่ำคืนของเดือนรอมฎอน
6.การทำเอี๊ยะติกาฟในมัสยิด เฉพาะอย่างยิ่งใน 10 คืนสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เพื่อแสวงหาคืน อัล ก๊อดรฺ(ลัยละตุ้ลก๊อดรฺ)
7.ทำสิ่งที่เป็นความดีต่างๆให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการละหมาด การกล่าวซิกรุลลอฮฺ และการทำศอดาเกาะฮฺ
8.ควรเป็นคนใจบุญ เห็นอกเห็นใจคนยากคนจน

(http://www.deepsouthwatch.org/sites/default/files/u60499/image_0.jpg)


สิ่งที่ทำให้เสียศีลอดมี 7 ประการ คือ
    1. กินและดื่ม โดยเจตนา
    2. อาเจียรโดยเจตนา
    3. มีเลือดประจำเดือน
    4. มีเลือดอันเนื่องจากการคลอดบุตร
    5. หลั่งอสุจิโดยเจตนา
    6. สูบบุหรี่
    7. สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม

การถือศิลอดในทัศนะทางการแพทย์
    นักวิชาการอเมริกาคนหนึ่ง ชื่อนายแพทย์ Allan Cott เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ Way Fast ? ” (ทำไม่ต้องถือศิลอด) ซึ่งเป็นผลจากกการวิจัยของเขาจากหลายๆประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศิลอดไว้ 10 ข้อ ดังนี้
1. to feel better physically and mentally. = ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น
2. to look and feel younger. = ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น
3. to clean out the body. = ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน
4. to lower blood pressure and cholesterol levels = ช่วยลดความดันโลหิตสูง และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
5. to get more out of sex = ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)
6.to let the body health itself = ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง
7. to relieve the tension = ช่วยลดความตรึงเครียด
8. to sharp the sense = ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม
9. to again control of ourself = ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้
10. to slow the aging process = ช่วยชะลอความชรา


ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
http://www.muslimthai.com/main/1428/subindex.php?page=sub&category=36
ขอบคุณข้อมูล โดย สะตอดอง gotoknow
ที่มาภาพhttp://www.publicpostonline.net/wp-content/uploads/2016/06/ramadan.jpg

ทำไมอิสลามจึงไม่กินหมู ?


ทำไมอิสลามจึงไม่กินหมู ?

(แหล่งที่มาภาพ http://www.startclip.com/images/1483_1451618560.jpg)

       เมื่อบุคคลใดเรียกตัวเองว่ามุสลิม ก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ คำสั่งห้าม/ใช้ ตามคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งเป็นวะฮี (โองการ)จากพระเจ้า และคำสั่งสอนของท่านนบีมูฮำมัด ศ็อลลอลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เป็นศาสนาทูต คนสุดท้ายของอิสลาม

      คำถามที่หลายครั้งถูกถามเกี่ยวกับมุสลิมกับการไม่ทานหมู ความเชื่อของคนต่างศาสนิกที่เข้าใจว่า"มุสลิมกลัวหมู มุสลิมเกลียดหมู มุสลิมไม่กินหมู" สิ่งเหล่านี้ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ กับคำตอบที่ถูกต้อง ว่าทำไมมุสลิมถึงไม่ทานหมู

คำตอบที่ว่าทำไมมุสลิมถึงไม่ทานหมูมีอยู่หลายคำตอบ ซึ่งหากแบ่งหัวข้อการตอบให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นนั้นแบ่งได้ 2 แบบ

คำตอบตามหลักศาสนา การที่ว่าทำไมถึงไม่ทานหมู เพราะการที่ชาวมุสลิมไม่ทานหมู เนื่องจากเป็นคำสั่งใช้/ห้าม จากพระเจ้า โดยมีผู้นำคำสั่งมาถ่ายทอดนั้นคือ ท่านนบีมูฮำมัด ศ๊อลลอลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เป็นศาสนทูต คนสุดท้ายแห่งอิสลาม

คำตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ในยุคปัจจุบันมีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์ พบว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็ก ๆ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ในเนื้อหมูมีพยาธิบางชนิดซึ่งมีเกราะที่เกิดจากไขมันในเนื้อหมูห่อหุ้มมันอยู่ ซึ่งความร้อนต่ำไม่สามารถทำลายมันได้ พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์หลังจากที่กินเนื้อหมูเข้าไป และรอฟักตัวออกมาทำอันตรายร่างกายมนุษย์ เช่น ประสาทตาและประสาทสมอง เป็นต้น

     มุสลิมในยุคก่อนไม่ทราบถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่เขาน้อมรับและปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่มาจากพระเจ้า และหมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ (กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ของมัน) ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่าเป็นสัตว์สกปรก
      ฉะนั้นไม่ใช่ว่ามุสลิมไม่ทานหมูเพราะเหตุผลที่ว่าหมูมีพยาธิ ถึงว่าแม้ว่าในอนาคตจะสามารถทำให้เนื้อหมูปลอดจากพยาธิชนิดนี้ได้ หรือจะเลี้ยงหมูอย่างดีไม่ต้องให้กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ แต่มุสลิมก็จะยังคงไม่กินหมูอยู่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติห้ามไว้

“มนุษย์เอ๋ยจงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร แท้จริง มันเป็นศัตรูที่เปิดเผยสำหรับสูเจ้า” 
จากอัลกุรอาน บทที่ 2 อัล-บะเกาะเราะฮฺ : โองการที่ 168

      บางครั้งอาจมีการตั้งคำถามว่า ในเมื่อไม่ให้กินหมูแล้ว พระเจ้าจะสร้างหมูมาทำไม ? 
จากโองการข้างต้นสรุปให้เข้าใจได้ดังนี้ พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตมาหลากหลายชนิด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิดจะถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ สัตว์บางชนิดเกิดมาเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์ สัตว์บางชนิดถูกสร้างมาเพื่อกินสัตว์กินพืช ไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์กินพืชก็จะกินใบไม้หมดป่า ซึ่งป่าไม้และพืชนั้นก็ทำหน้าที่ซับน้ำ ผลิตออกซิเจน รักษาชั้นบรรยากาศของโลก และยังเป็นอาหารให้มนุษย์ด้วย ดังนั้นสิ่งใดสำหรับชาวมุสลิมที่พระเจ้าอนุญาตให้ทาน สิ่งใดที่พระเจ้าไม่อนุญาตให้ทาน ซึ่งในเรื่องของอาหารนั้น สิ่งใดที่พระเจ้าไม่ได้บัญญัติห้าม สิ่งนั้นถือว่าอนุญาตให้ทานได้โดยปริยาย

   “แท้จริง พระองค์เพียงแต่ทรงห้ามสูเจ้า (มิให้บริโภค) สัตว์ที่ตายเอง และเลือดและเนื้อของสุกร และที่ถูกเปล่งนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ (เมื่อเชือด) แต่ผู้ใดก็ดีที่อยู่ในภาวะคับขันไม่เจตนาดื้อดึง และมิใช่ละเมิด ฉะนั้นแท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
จากอัลกุรอาน บทที่ 16 อันนะหฺลฺ : โองการ 115

 ท่านทราบหรือไม่ว่าอิสลามทานหมูได้?

จากโองการข้างต้นนั้นนำเสนอเนื้อหาที่แสดงเกี่ยวกับการทานหมู ซึ่งศาสนาอิสลามได้ระบุไว้ ในกุรอานมีตอนหนึ่งกล่าวว่า ” แต่ผู้ใดอยู่ในภาวะคับขัน “ เช่นอยู่ในภาวะอดอยากขาดแคลนจนไม่มีอะไรกินประทังชีวิต ก็อนุญาตให้รับประทาน หรือถ้าหากมีใครเอาอาวุธ หรือถูกบังคับเพื่อให้ทานหมู และเขาไม่อาจต่อสู้ได้ ในกรณีนี้ก็สามารถทำได้ ถ้าหากว่ามุสลิมไม่เคารพตัวเองโดยตั้งใจที่จะกินหมู นั่นก็แสดงว่า เขาไม่เชื่อมั่นในหลักการ เป็นคนที่ไม่มีสำนึกในศาสนา และไม่มีความละอายต่อบาป

“.. หมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมันมันเป็นมลทินแก่เจ้า”
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า บทเลวิกิโต 11.7-8

อิสลาม จะทานอาหารที่ศาสนาอนุมัติเท่านั้น
                ความจริง อิสลามไม่ได้ห้ามทานหมูอย่างเดียว แต่มีอีกหลายอย่างที่ ห้ามทาน แต่คนที่ไม่เคร่งครัด, ละเลย หรือขาดความรู้ด้านศาสนา เขาก็จะจำแค่อย่างเดียวว่าไม่ทาน หมู หรือถ้ากินอยู่ ห้ามทัก!! (มีมากสำหรับคนที่ไม่รู้จักละอายต่อบาป) ทั้งที่การบริโภคสิ่งต้องห้ามอื่น ๆ มีบาปมากกว่า               ****โดยเฉพาะสุรา ที่เห็นมุสลิมวัยรุ่นหลาย ๆ คนทานกันเป็นเรื่องธรรมดา(บางคน)****

สิ่งที่ศาสนาอิสลามห้ามทานคือ
1.) เนื้อหมู และผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เจลาตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)
2.) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ ถือเป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม
3.) นื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ
4.) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ
5.) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิตและชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน
6.) ของเซ่นไหว้ทุกชนิด
7.) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่น ๆ
8.) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรา


เรียบเรียงโดย ประเสริฐ มาไมตรี  นักศึกษาฝึกงานมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์
ที่มา : http://www.lib.ru.ac.th/journal2/?p=3607 

ทำไมศาสนาอิสลามจึงอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึง 4 คน ?


ทำไมศาสนาอิสลามจึงอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึง 4 คน ?




(แหล่งที่มา : Facebookpage ความรักในแบบอิสลาม)


     มีแนวคิดอยู่แนวคิดหนึ่งนึงว่าการแต่งงานมีภรรยาเป็นเรื่องของผู้ที่ยังมีกิเลส  ยังมีความอยากได้  /  อยากเป็น  /  อยากมี  /  อยู่  วิธีละซึ่งกิเลสวิธีหนึ่งคือการครองตนให้เป็นโสดจะทำให้หลุดออกจากการอยากครอง

    และมีอีกแนวคิดหนึ่งเห็นว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต  เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความสุขจึงไม่ใช่เรื่องที่ มนุษย์ควรทิ้งขว้างไปง่ายๆ  การมีเพศสัมพันธ์เป็นความเสรีสุขที่ฝังตัวมากับมนุษย์  ในเมื่อเป็นธรรมชาติของมนุษย์  ก็ไม่ควรมีอะไรมาจำกัดมัน  ไม่ว่าจะมีศีลธรรม  ศาสนา  ประเพณี  วัฒนธรรม  จำนวน  กาละ  หรือเทศะ



คำถามที่ตามมา  “แล้วทำไมอิสลามไม่กำหนดจำนวนภรรยาไว้แค่คนเดียว”

บัญญัติอิสลามเป็นอิสระจากกาลเวลา  ถ้ามองไปที่ประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่า  วัฒนธรรมการมีภรรยาคนเดียวอย่างเคร่งครัดนั้นเพิ่งมีมาไม่กี่ร้อยปี  หมายความว่าคนในยุคไม่กี่ร้อยปีทานี้มองว่าการมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องแปลก  แต่ในทางกลับกันในยุคก่อนหน้านั้นสังคมมองว่าการมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนเป็นเรื่องปกติ

หากผมถูกถามจากเพื่อนต่างศาสนิกว่า “ทำไมมุสลิมจึงมีภรรยาได้ 4 คน?” ผมก็ยังไม่ตอบคำถามนั้นครับ แต่ผมจะถามเพื่อนของผมกลับไปว่า
        “นายลองบอกให้ฉันฟังหน่อยว่า  ปัจจุบันหลังเลิกงานผู้ชายส่วนใหญ่จะไปไหนกัน?” 
        คำตอบที่ได้คือ  ไปเที่ยวคาราโอเกะบ้าง,ไปหาเมียน้อยบ้าง ฯลฯ  ผมก็จะกล่าวต่อไปว่า
 นัยความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือผู้ชายส่วนใหญ่ไปหาความสุขกับเพศตรงข้าม  ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก  หรือซื้อบริการทางเพศแทบทุกวัน  นี่คือความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้หรอก
        โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่การละเมิดประเวณีถือเป็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วแม้กระทั่งการร่วมเพศบนรถประจำทางก็มีให้เห็นกันแล้ว



      "แต่อิสลามคือชัยชนะ  อิสลามคือความสูงส่ง  อิสลามคือศาสนาที่มาเพื่อความขจัดความโสมมในแต่ละยุคสมัย"

 อิสลามคือศาสนาที่ให้เกียรติแก้เพศสตรีอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพราะอะไรที่กล่าวเช่นนั้น ??
     เพราะอิสลามให้ทางออกกับมนุษยชาติทั้งหมด ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่า ความต้องการของผู้ชาย (ด้านอารมณ์ทางเพศส่วนใหญ่) มีอายุการใช้งานนานกว่าผู้หญิง (ตั้งแต่วันที่เริ่มมีอสุจิไปจนตาย) เมื่อเป็นเช่นนี้ อิสลามก็ให้ทางออกกับชายมุสลิม โดยอนุญาตให้ผู้ชายมีภยยยาได้มากกว่าหนึ่งคน แต่ต้องไม่เกินสี่คน โดยวางเงื่อนไขว่า หากผู้ชายคนนั้นมีความสามารถเลี้ยงดูภรรยาเหล่านั้นได้ ให้ความยุติธรรมในระหว่างภรรยานั้นได้ หากทำไม่ได้ก็ให้มีเพียงภรรยาคนเดียวเท่านั้น




หลักการข้างต้นยังส่งผลในแง่ศีลธรรมด้วยว่า
     ผู้ชายที่แต่งงานกับภรรยาคนที่ 2 (3 หรือ 4) เป็นการลดการสำส่อนทางเพศ เฉกเช่นในปัจจุบันที่กำลังประสบอยู่ อาทิ ปัจจุบันเวลาร่วมหลับนอนด้วยกันก็ไม่รับผิดชอบต่างคนต่างไป หากสตรีผู้นั้นตั้งครรภ์ก็อย่างที่เห็น คลอดลูกก็ไปวางไว้บนสะพานลอย ฆ่ายัดถังขยะ ฯลฯ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากการสำส่อนทางเพศที่ไม่มีกฎเกณฑ์หรือกติกาเฉกเช่นกฎเกณฑ์ของอิสลาม

     หลักการข้างต้นยังเป็นการให้เกียรติสตรีอีกด้วย เพราะการแต่งงานคนที่ 2 (3 หรือ 4) นั้นต้องจัดพิธีแต่งงานตามหลักการศาสนา โดยให้ผู้อื่นได้รู้ทั่วกันว่าสตรีคนนั้นเป็นภรรยาของเรา ซึ่งเราต้องเลี้ยงดูนาง ไม่มีคำว่าเมียหลวงเมียน้อยทุกคนมีความเป็นภรรยาเท่ากัน
     โดยมิใช่ว่านางจะต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ เสมือนกับค่านิยมที่มีเมียน้อยเก็บเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ และใครรู้ก็ไม่ได้ หากรู้ก็จะตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ อาทิ เมียหลวงฆ่าเมียน้อยเมียหลวงพาพวกไปตบเมียน้อย เป็นต้น

    หลักการข้างต้นไม่ได้เห็นสตรีเป็นเครื่องหมายทางเพศ เพราะบางคนไปเที่ยวผู้หญิง นอนด้วยกัน บางครั้งก็นอนด้วยกัน 3 ชั่วโมง บางครั้งก็ตลอดทั้งคืนโดยตกลงค่าตัวให้แก่นาง ครั้นจ่ายค่าตัวแล้วต่างคนต่างไป


    
แต่อิสลามไม่ใช่ครับ อิสลามอนุญาตให้แต่งงานกับสตรีมากกว่าหนึ่งคน จำเป็นที่ผู้ชายต้องเลี้ยงดูนางด้วย ไม่ใช่จ่ายเป็นครั้งคราวเพราะสตรีไม่ใช่เครื่องหมายทางเพศ นางมีศักดิ์ศรี นางมีเกียรติ 

      ฉะนั้นในยุคปัจจุบันผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องหมายทางเพศเท่านั้น โปรดสัมผัสได้ตามข่าวหนังสือพิมพ์ที่มีสิ่งเหล่านี้ไม่เว้นแต่ละวัน ทางรัฐบาลเองก็ปวดหัวเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ? เนื่องจากเดี๋ยวนี้การขยายบริการทางเพศนั้นเป็นเด็กที่อายุประมาณ 10 กว่าปีเท่านั้นเอง ผู้เป็นแม่กลับเป็นแม่เล้าหาแขกให้นอนกับลูกสาวตัวเอง ทำนองนี้เป็นต้น



ทำไมอิสลามอนุญาตให้มีภรรยาหลายคนได้ ?? 

          อิสลามไม่ใช่ศาสนาแรกที่อนุญาตให้มีภรรยาได้หลายคน และไม่ได้ริเริ่มเรื่องนี้ขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามอิสลามเป็นศาสนาแรกที่วางระเบียบการสมรสและจำกัดจำนวน ภรรยายภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด การมีภรรยาได้หลายคนนั้น มีมาก่อนที่อิสลามจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เสียอีก และไม่ใช่เฉพาะชนเผ่าอาหรับเท่านั้น เผ่าอื่นๆก็มีเช่นกัน อิสลามจึงจัดระเบียบใหม่โดยยกเลิกประเพณีที่ผิด ในสังคมสมัยนั้น ซึ่งเป็นการยากที่จะยกเลิกประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในคราวเดียวกัน ทั้งหมด ดังนั้นอิสลามจึงได้ทำการยกเลิกประเพณีดังกล่าวทีละขั้นตอน ซึ่งแม้แต่ในเรื่องการกำหนดจำนวนภรรยาก็ตาม
          อิสลามได้จำกัดจำนวนภรรยาให้เหลือเพียง 4 คนจากเดิมซึ่งไม่มีการจำกัดจำนวน 


ดังหลักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อันนิซา โองการที่ 3 ความว่า
"พวกเจ้าทั้งหลายจงทำการสมรสกับสตรีที่พวกเจ้าปราถนา 2 คน 3 คน 4 คน"



       
อย่างไรก็ตามการอนุญาตดังกล่าวนั้นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ที่ภรรยาทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันอย่างเป็นธรรม ในทุกๆด้าน โดยไม่มีการยกเว้น เพราะศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับเรืองนี้ซึ่งมีความว่า

"ชาย ใดที่สมรสกับสตรีสองคน และมีความเอนเอียงไปยังคนใดคนหนึ่ง โดยไม่มีความยุติธรรมแล้ว ในวันสอบสวน(วันสิ้นโลก)ร่างของเขาครึ่งหนึ่งจะเอนเอียง"
     
        คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวเตือนถึงการให้ความยุติธรม ระหว่างภรรยานั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง หรือเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะใช้ความเพียรพยายามสักปานใดก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะให้ความยุติธรรมดังกล่าวได้

  ดังปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อันนิซาโองการที่ 129 ได้ชี้แจงว่า
"พวกเขาทั้งหลายจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมนระหว่างภรรยาได้ แม้ว่าพวกเขาจะเพียรพยายามสักปานใดก็ตาม"

         ด้วยเหตุดังกล่าว        "ทางออกที่ดีที่สุดคือการ มีภรรยาเพียงคนเดียว" 



ดังหลักฐานในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อันนิซา โองการที่  3 ความว่า
"หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงสมรสกับสตรีเพียงคนเดียว"
       
      บทบัญญัติดังกล่าวของอิสลามเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีมานานมากกว่า 1400 ปีแล้ว   จึงเห็นชัดเจนว่าอิสลามไม่ได้เป็นศาสนาที่นำระบบการมีภรรยาหลายคนมาใช้ ซึ่งระบบดังกล่าวมีมาก่อนอิสลามเสียอีก แต่อิสลามต้องการแก้ไขปัญหานี้ในทางปฏิบัติ เพื่อป้องกันวิกฤตในสังคม และประสงค์ที่จะให้ผู้ชายมีภรรยาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยถือว่าการมีภรรยาหลายคนนั้นเป็นเพียงข้อยกเว้น เช่น ผู้ชายจำนวนมากเสียชีวิตในยามสงครามทำให้เด็กและสตรีจำวนมากขาดผู้ดูแล
      ในภาวะการณ์เช่นนี้อนุญาตให้ผู้ชายแต่งงานกับสตรีที่สามีเสียชีวิตในสมรภูมิ ได้หลายคน เพื่อเป็นการดูแลและปกป้องสตรีเหล่านั้นไม่ให้หันเหไปในทางที่ผิดๆ หรือกรณีที่ภรรยาเจ็บป่วยเรื้อรัง และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ฉันท์สามี ภรรยาได้ หรือไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสืบสกุลได้ การมีภรรยาหลายคนจึงได้รับการอนุญาตภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว และผู้ชายจะต้องให้สิทธิต่างๆแก่เธอเสมือนกับภรรยาคนแรก


        ทั้งนี้อิสลามประสงค์ที่ป้องกันไม่ให้เกิดความสัมพันธ์ที่ต้องห้ามขึ้น ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อสังคมอย่างร้ายแรง แต่ทว่าในเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นข้อห้ามในสังคมตะวันตก




ที่มาของข้อมูล : หนังสือ "อิสลาม กับคำถามที่ต้องตอบ"
โดย  ศาสตราจารย์ ดร. มะห์มูด ฮัมดี ซักซูก
ที่มาภาพทั้งหมด : Facebook ความรักในแบบอิสลาม 
Source: www.islammore.com

ทำไมผู้หญิงอิสลามต้องคลุมฮิญาบ ?

                        ทําไมหญิงมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวกประจำ ? 
                       (แหล่งที่่มาภาพ https://sites.google.com/site/sasnaxislam//kar-taeng-kay/islamic_clothing_for_man.jpg?height=320&width=213 )

 การคลุมผ้า (ฮิญาบ )ของสตรีมุสลิม นั้น  ไม่ใช่ประเพณีของอาหรับ แต่ เป็นบทบัญญัติของศาสนา                                                                " ฮิญาบ"  แปลว่า ปิดกั้น

ประวัติที่มาของการคลุมฮิญาบมีดังนี้
             ช่วงแรกๆในการเป็นศาสนฑูตของท่านนบีมูฮำมัดนั้น ยังไม่มีคำสั่งเรื่องการคลุมฮิญาบลงมา ครั้นเมื่อท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) มุ่งหน้าไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ช่วงนั้นท่านนบียังไม่มีที่บ้านเป็นของตนเอง จึงพักที่บ้านของอบูอัยยูบ  แต่ภรรยาของท่านนบีต้องพักที่อื่น เช่นนั้นเมื่อภรรยาของท่านนบีและสตรีมุสลิมท่านอื่นๆ ต้องการออกไปทำภาระกิจ (เช่น ธุระส่วนตัว....เมื่อก่อนยังไม่มีห้องน้ำ)  ในยามค่ำคืน ก็ต้องออกไปทำภารกิจนอกบ้านซึ่งในระหว่างทาง พวกอันธพาลมักนั่งแถวๆ ข้างทาง คอยหยอกล้อ,จีบสาว และพูดจาเกี้ยวพาราสีต่อสตรีที่เดินผ่านไปมา
        ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานอัลกุรฺอานในบทที่ว่า

"โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนางเถิด" ( Qu’ran บทอัลอะหฺซาบ 33 : 59)



        การคลุมฮิญาบของสตรีนั้น โดยทั่วไป จะเปิดเผยแค่ใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนการปิดจนเหลือแต่ลูกตานั้นเป็นทัศนะที่ปฏิบัติเพื่อป้องกันตนเองจากฟิตนะห์ (ความไม่ดีไม่งามทางสังคม)  เช่น ป้องกันการถูกแซว หรือ การหยอกล้อเชิงชู้สาว จากเพื่อนชาย เป็นต้น
        การปิดหน้าจนเหลือแต่ลูกตา ไม่ได้มีไว้เพื่อปิดบังตัวเอง จากการทำสิ่งไม่ดี หรือ เพื่อเจตนากระทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองเป็นใคร เพื่อไม่ให้ใครจำได้ เช่น ยามปกติ(หมายถึงการใช้ชีวิตปกติทั่วๆไปก็ใส่ฮิญาบธรรมดา) ก็ไม่ได้ปิดหน้าปิดตา การกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่นนี้ไม่ใช่เจตนาของอิสลาม ที่้ใช้ศาสนาอำพราง กระทำในสิ่งไม่ดี และการปิดหน้านั้นไม่ใช่เพื่อป้องกันฝุ่นทะเลทรายหรือประเพณีอย่างที่คิดกันไปเอง เพียงเพราะว่าอิสลามมาจากประเทศแทบอาหรับทะเลทราย แต่มาจากบทบทบัญญัติศาสนา ในเรื่องการคลุมฮิญาบและป้องกันสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง อย่าไปล้อเลียนดูถูกคนที่ปิดหน้า เพราะเขาทำเพื่อป้องกันฟิตนะฮฺและอยู่ในหนทางอิสลามเช่นกัน

ฮิญาบคือการกดขี่สตรีเพศรึเปล่า ?? 




         ฮิญาบไม่ได้เป็นการกดขี่สตรีเพศของอิสลาม อยากให้มองดูสังคมแบบใจที่เป็นกลาง อิสลามให้ป้องกันก่อนจะมีสิ่งไม่ดีตามมา อิสลามมีการปกป้องและป้องกันจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เราไม่อาจปฏิเสธได้ ในเรื่องธรรมชาติอารมณ์ของมนุษย์ มีได้หลายอย่าง การมอง การได้กลิ่น และการสัมผัส ดังนั้น ด้วยหัวใจของมนุษย์นั้นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อิสลามจึงให้สตรีปกป้องตัวเองไว้ก่อน ดีกว่าที่จะไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
      ฮิญาบยังแสดงถึงความเท่าเทียมกัน ไม่ต้องอวดว่ามีดีกว่าคนอื่น สวยกว่าคนอื่น ไม่ต้องอวดเครื่องประดับประดาต่างๆ และลดปัญหาการล้อเลี่ยนปมด้อยในร่างกายของแต่ละคน เช่น ร่างกายผิดปกติ เป็นเหตุที่เขาควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นกับเขาไม่ได้  ตรงนี้เมื่อคนไม่เห็น เขาจะสุขสงบใจมากกว่า ที่คนจะมองด้วยสายตาประหลาดๆ ทำให้เกิดเป็นปมด้อยขาดความมั่นใจ   ฮิญาบจึงเป็นสิ่งช่วยสร้างความอบอุ่นทั้งกายและใจ



      ในสังคมทั่วไปอาจกล่าวว่า "มีดีก็ต้องโชว์"  แต่อิสลามกล่าวว่า " มีดีก็ต้องปกปิด สวยด้วยการปกป้อง สวยด้วยอัตลักษณ์ของศาสนา "มองให้ลึกลงไปว่าสาวๆเหล่านั้นรักนวลสงวนตัว  และมีความสวยงามของผู้ศรัทธา^^

     ได้พูดคุยแลกเปลี่ยน กับคนต่างศาสนาหลายๆคน ที่ตั้งใจมาสอบถามหาความรู้เกี่ยวกับอิสลาม ทุกคนพูดว่า "สตรีอิสลามแต่งกายปกปิด เห็นอยากให้สังคมเป็นแบบนี้มาก เพราะจะช่วยยกระดับ  ปัญหาสังคมต่างๆ และดูมีค่า มีราคามากกว่า เปิดโชว์"  คำพูดจากชายต่างศาสนา



       ส่วนการแต่งกายของชายมุสลิมนั้น ก็ตามปกติทั่วๆไป มีส่วนที่ต้องปกปิดไว้ ตั้งแต่ ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือค่ะ จะใส่สูทผูกไทค์ หรือจะใส่สะโหร่ง กางเกงเลก็ได้  ฯลฯ  แต่ต้องไม่ปิดเผยเอาเราะฮฺนั่นเอง (สำหรับชาย คือ ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือ) และการสวมหมวกของชายมุสลิม(ทั้งสีขาวและสีอื่นๆ) เรียกกว่าหมวกใส่เพื่อทำการละหมาด( นมัสการพระเจ้า) ภาษามาลายูเรียกว่า กะปิเยาะห์  ที่ชายมุสลิมใส่เป็นส่วนมาก เพราะท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) ได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง  ( อิสลามนั้นใช้แบบอย่างจากนบีท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) ที่รับวะยูห์มาจากพระเจ้า เรียกว่าซุนนะฮฺ) แต่ไม่ได้จำเป็นต้องใส่แต่หมวกเท่านั้น  เพราะท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) บางครั้งก็ใช้ผ้าสะระบั่น มาโพกที่ศรีษะ บางครั้งก็ใส่หมวกและเอาผ้าโพกอีกครั้งหนึ่ง การที่มุสลิมโพกผ้าศีรษะถือว่าเป็นซุนนะฮฺเหมือนกัน มีรายงานถึงลักษณะของท่านนบีว่า ท่านอัมร์เล่าว่า  " ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวเทศนาธรรม (คุฏบะฮฺ) โดยใช้ผ้าโพกศีรษะสีดำ "(บันทึกโดยติรฺมิซีย์ , อิบนุมาญะฮฺ และอบูดาวูด) ส่วนจะใส่หรือไม่ใส่ทั้งในเวลาปกติ หรือเวลาละหมาดนั้น ไม่ได้เป็นคำสั่งใช้ ว่าจำเป็นต้องกระทำ (เช่นการละหมาด นั้นจำเป็นต้องทำ) แต่ทำตามท่านนบีนั่นจะดีกว่านั้นเอง

ทำไมชายและหญิงถึงปกปิดต่างกัน ?

        อาจจะถามว่าทำไม ชายส่วนที่ปกปิด ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือ แต่หญิง คือ ฝ่ามือและใบหน้า เพราะชายมีหน้าที่มากมายกว่าหญิง ชายเป็นเพศที่ต้องปกป้องและทำหน้าที่ดูแลครอบครัว แต่หญิงเมื่ออยู่ในบ้านก็ตามปกติ นั่นเองค่ะแค่ออกจากบ้านก็ต้องมีฮิญาบ... และเมื่ออยู่กับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวก็ต้องปกปิดร่างกายด้วยฮิญาบแต่ระหว่างสตรีด้วยกันก็เปิดเผยได้ตามปกติทั่วไปค่ะ


 ขอบคุณข้อมูลจาก : annisaa.com
 ขอบคุณภาพจาก : FACEBOOK NADIA SANAPNAN

มุสลิมสวมชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ได้หรือไม่ ?



มุสลิมสวมชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ได้หรือไม่ ?

( แหล่งที่มาภาพ : นาเดีย สนับแน่น )

    "อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ"  ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสเช่นนี้   เพราะทรงทราบดีว่า มุสลิมนั้นก้มกราบผู้ใดไม่ได้เลย จะทำให้ตกศาสนา(มุรตัด) จึงทรงตรัสเพื่อให้กับ         อาจารย์วันมูหะมัดนอร์  มะทา  ไม่ต้องเกร็ง ทำตามหลักศรัทธาที่ตัวเองยึดถือ

(http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2012/06/king-bhumibol-working.jpg)

   เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อตอนนำรัฐธรรมนูญปี 2540 ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ผมเป็นคนไทย มุสลิม ถึงผมไม่ได้กราบไหว้บูชารูปที่มีทุกบ้าน เพราะมันผิดหลักศาสนา แต่ผมก็รัก ให้เกียรติ และก็นำเอาวิถีพอเพียงของท่านมาใช้ ซึ่งมันสอดคล้องกับอิสลาม เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมและการแสดงออก ณ ช่วงเวลานี้

สวมใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์จะได้หรือไม่ ?? 
     ถ้าดูคำวินิจฉัยตามหลักอิสลามแล้ว คำตอบคือ ไม่อนุญาตให้ไว้ทุกข์ด้วยการสวมใส่ชุดแต่งกายสีดำ แต่ไม่ได้หมายความว่า ห้ามไม่ให้แสดงความอาลัย มุสลิมแสดงความอาลัยได้ แต่ถ้าเลือกใส่ชุดสุภาพสีไม่ฉูดฉาดตามปกติ โดยไม่ได้เจตนา เจาะจงว่าเป็นการไว้ทุกข์ก็ไม่เป็นไร


    ทางที่ดีควรเป็นสีที่ดูสุภาพ สีพื้นๆ ที่ไม่ฉูดฉาด เรียกว่าแต่งตัวเรียบร้อย เพื่อไม่ให้คนอื่นดูขัดตาและดึงดูดความสนใจตามกาลเทศะของสังคมไทย ส่วนผู้ที่แต่งกายชุดดำปกติอยู่แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก 
สังเกตว่าท้ายประกาศสำนักพระราชวัง ระบุ อนึ่ง สําหรับพนักงานที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่น ขอให้แต่งกายตามธรรมเนียมศาสนาท่านได้ตามความเหมาะสม 

  เช่นเดียวกัน แก่นแท้ของการเคารพพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่ที่ "การก้มกราบ" หากแต่อยู่ที่
"ความประพฤติ"ของผู้นั้นตังหาก
(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/06/A4429439/A4429439-3.jpg)


ในหลวงทรงเข้าใจในความจงรักภักดีของมุสลิมต่อกษัตริย์เพราะพระองค์สัมผัสได้ด้วยหัวใจ

**********   ทุกๆ เจตนาย่อมอยู่ที่การกระทำ ******

(http://f.ptcdn.info/043/038/000/nywtdoekgu9YdLEbm4B-o.png)

ถาม-ตอบ ปัญหา โดยสำนักจุฬาราชมนตรี
        ปัญหา เรื่องทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ การแสดงความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในพิธีการต่างๆ จะขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ ใคร่ขอทราบข้อเท็จจริงและความเห็น
        คำตอบ - การยืนตรงต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม 
                     - การก้มศรีษะไม่ถึงขั้นรุกัวะ ถือเป็นการกระทำที่ไม่บังควร (มักรูฮ์) - การก้มศรีษะถึงขั้นรุกัวะ บางทัศนะว่าต้องห้าม (ฮารอม) บางทัศนะว่าไม่บังควร (มักรูฮ์)


          ปัญหา เรื่องการไว้ทุกข์ หากมุสลิมไปร่วมงานในพิธีของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ โดยการแต่งกายชุดดำ จะเป็นการขัดด้วยหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ ใคร่ขอทราบข้อเท็จจริงและความเห็น 
          คำตอบ ในการแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยชุดสีดำ ผิดบทบัญญัติศาสนาอิสลาม ข้อเสนอแนะ อิสลามกำหนดไว้อาลัยแก่ผู้ตาย ซึ่งบังคับแก่สตรีเท่านั้น โดยการเว้นการแต่งกายที่ฉูดฉาด ห้ามใส่เครื่องประดับและเครื่องหอมทุกชนิด การที่มุสลิมไปร่วมงานศพของเพื่อนต่างศาสนา ให้แต่งกายตามแบบธรรมดาทั่วไป อย่าแต่งชุดดำ





(http://www.io-pr.org/UserFiles/images/999(1).jpg)



ที่มา : piwdee.net, Tob Wootthinan Nahim
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก : Facebook สำนักจุฬาราชมนตรี
islamhouse.muslimthaipost.com